มายมายค์ >3

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความหมายของวันวาเลนไทน์ ^3^


ประวัติวันวาเลนไทน์
14 กุมภา วาเลนไทน์ ของทุกปีก็เป็นวันที่หลายคนรอคอย หรือเป็นวันที่มีความหมายวันหนึ่งสำหรับคู่รักทั่วโลก ประวัติวันวาเลนไทน์ วันวาเลนไทน์ มีประวัติอย่างไร มาดูกัน

วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เรื่องของ วันวาเลนไทน์ นี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ณ กรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ในยุคของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) โดยที่จักรพรรดิพระองค์นี้ มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เขาได้สั่งให้ชาวโรมันทุกคน สักการะนับถือพระเจ้า 12 องค์ โดยผู้ที่ขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษ รวมทั้งห้ามยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสเตียนด้วย แต่นักบุณวาเลนตินุส (Valentinus) - valentine มีความเลื่อมใส ศรัทธาต่อพระคริสมาก เขาได้กล่าวไว้ว่า แม้กระทั่งความตายก็ไม่สามารถ เปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาจึงได้ถูกขังคุก

ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้น
ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดายที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่าง ๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง จูเลีย สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของ วาเลนตินุส เธอเชื่อใจเขาและเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า
“ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม” เขาตอบ “พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเราทุกคน” จูเลียกล่าว “ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไรทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น....ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็นโลก เห็น ทุก ๆ อย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง” วาเลนตินุสจึงบอก “พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน เพียงแค่เรามีความเชื่อมั่นในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง”

จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า
จึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น จูเลียค่อย ๆ ลืมตา พระเจ้า.....เธอมองเห็นแล้ว!!!!! เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่วาเลนตินุสจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ
เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า - From Your Valentine - เข้าสิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แต่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงาม

ประวัติ วันวาเลนไทน์ นี้เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน
เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องเท่านั้น ไม่ว่าประวัติที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในปัจจุบันนี้ เราได้ถือว่า วันวาเลนไทน์ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและการ์ด เพื่อบอกความนัยในแก่คนที่พิเศษของคุณ วาเลนไทน์ นี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน สำหรับคู่รักทั่วโลก

นักบุญวาเลนไทน์
นักบุญวาเลนไทน์นักบุญวาเลนไทน์ ทำให้จักรพรรดิที่โรมเกิดความสำนึก และผู้พิพากษาได้กลับใจมาเป็นคาทอลิกเพราะท่านนักบุญทำให้บุตรสาวของเขาหาย จากตาบอด วาเลนไทน์ บวชเป็นพระสงฆ์ที่กรุงโรมและได้เป็นพระสังฆราชในเวลาต่อมา ท่านได้ถูกจับโดยคำสั่งของจักรพรรดิโกลดิโอที่ 2 เพราะท่านขึ้นชื่อลือเด่นในทางบำเพ็ญฤทธิ์กุศลหลายประการขั้นแรกจักรพรรดิ ทรงซักถามวาเลนไทน์ด้วยความมักรู้มักเห็น แต่ต่อมาทรงรู้สึกสนพระทัยในคำสอนของคริสตัง ที่สุดพระองค์ตรัสว่า : “คำสอนของบุรุษผู้นี้ฟังแล้วจับใจจริง ๆ “ แต่ในขณะที่พระองค์ทรงเริ่มมีความเชื่อ ท่านผู้ว่าราชการกรุงโรมก็จัดให้ผู้พิพากษานายหนึ่งเข้ามาซักถามท่านวาเลน ไทน์ ผู้พิพากษาคนนี้เยาะเย้ยท่านในเรื่องที่คริสตังชอบกล่าวว่า “พระคริสต์ทรงเป็นองค์ความสว่างของโลก” ลูกสาวของผู้ พิพากษาคนนี้ตาบอด วาเลนไทน์ได้ทำอัศจรรย์ให้หาย อัสเตริอุส ผู้พิพากษาจึงกลับใจเชื่อถึงพระเยซูคริสตเจ้า เมื่อเห็นดังนั้น ท่านผู้ว่าราชการเกิดความอิจฉา และต้องการกำจัดท่านวาเลนไทน์ จึงจับท่านวาเลนไทน์ไปขังไว้ในคุกมืด แล้วใช้ไม้เป็นปุ่มเป็นตาเฆี่ยนท่านอย่างสาหัส ที่สุดนำท่านไปตัดศีรษะ นักบุญวาเลนไทน์ เป็นองค์อุปถัมภ์ของชาวเมืองตารัสก็อง (ภาคใต้ของฝรั่งเศส)

คิวปิด (Cupid)
สัญลักษณ์หนึ่งของวันวาเลนไทน์ คนทั่วไปรู้จักคิวปิด - Cupid ในภาพของเด็กน่ารักที่มีปีก มือถือคันธนูกับลูกศรและมีชื่อเสียงในเรื่องการยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร ศรรักของคิวปิด หมายถึงความปรารถนาและอารมณ์แห่งความรัก คิวปิด จะเล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกัน คิวปิดมักจะมีบทบาทในการเฉลิมฉลองความรัก ในกรีกโบราณ "คิวปิด" เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เอโรส ลูกชาย แอฟโพไดท์ เทพธิดาแห่งความรักและความสวยงามแต่สำหรับพวกโรมัน เขาคือ คิวปิด และแม่ของเขาคือ วีนัส มีเรื่องน่าสนใจพอสมควรเกี่ยวกับคิวปิด และ ไซคี เจ้าสาวของเขาในเทพนิยายโรมัน ผมขอแนะนำผู้อ่านให้รู้จักคู่รักของคิวปิด สักนิดนะครับว่าเธอเป็นเทพธิดารูปงามในนิยายกรีกโบราณมีปีกเป็นผีเสื้อ และเพราะความงามนี้เองที่ทำให้ วีนัส อิจฉา นางจึงได้สั่ง คิวปิด ให้ลงโทษว่าที่ลูกสะใภ้เสีย แต่ คิวปิด ตกหลุมรักเธอเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของแม่ ดังนั้น แทนที่จะลงโทษเธอ คิวปิด กลับเอาเธอเป็นภรรยาเสียเลย แต่เนื่องจาก ไซคี มิได้เป็นอมตะ เธอจึงถูกห้ามมิให้มองเขา (ตรงนี้ผมไม่ทร าบเหมือนกันนะครับว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ได้เธอเป็นภรรยาแล้วภรรยามองไม่ได้ แต่อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เพราะเทพนิยายฝรั่งก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากละครน้ำเน่าบ้านเรา) หลังจากตกเป็นภรรยาของคิวปิด แล้ว ไซคี ก็มีความสุขเรื่อยมา (ก็แหงละ) จนกระทั่งพี่สาวของเธอได้รบเร้าให้เธอมองคิวปิด ทันทีที่เธอมองคิวปิด คิวปิดก็ลงโทษเธอด้วยการทิ้งเธอไปทันที พร้อมกันนั้นปราสาทและสวนอันสวยงามของเธอก็ต้องมลายหายไปด้วย หลังจากนั้นไซคี ก็พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทุ่งโล่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆหรือ คิวปิด ปรากฏให้เห็นเลย ในขณะที่เธอออกเดินทางค้นหาคนรักของเธอนั้น เธอก็มาถึงวิหารของ วีนัส โดยบังเอิญ เมื่อ วีนัส เทพธิดาแห่งความรักพบว่า ไซคี ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ปราถนาที่จะ ทำลาย ไซคี ด้วยการให้งานที่หนักและอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานสุดท้ายที่ ไซคี ได้รับมิใช่งานขับเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดครับ หากแต่เธอได้รับกล่องใบหนึ่งมาและได้ถูกสั่งให้ลงไปยังใต้โลกเพื่อเอา ความงามของ โพรเซอร์พีน ภรรยาของ พลูโต ใส่กล่องใบนี้มา ในระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้น เธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักการหลีกเลี่ยงอันตรายจากอาณาจักรแห่งความตาย นอกจากนั้นแล้ว เธอยังได้ถูกเตือนมิให้เปิดกล่องใบนั้นอีกด้วย แต่เพราะทนไม่ไหวหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ไม่ทราบ เธอได้เปิดกล่องใบนั้น แต่แทนที่จะพบกับความงาม เธอกลับต้องหลับเป็นตาย ต่อมา คิวปิด ได้มาพบร่างอันไร้ชีวิตของเธอบนพื้นดิน เขาจึงได้นำเอาอาการหลับเป็นตายออกจากร่างของเธอและนำมันไปเก็บไว้ในกล่อง หลังจากนั้นคิวปิด ก็ได้ให้อภัยเธอเช่นเดียวกับ วีนัส เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเห็นความรักที่เธอมีต่อคิวปิด จึงได้ตั้งให้เธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง ปัจจุบันนี้รูป คิวปิด แผลงศรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ผู้คนมักนิยมใช้กัน และเมื่อศรรักของคิวปิด พุ่งโดนหัวใจหนุ่มสาวคนใดในวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวคนนั้นก็จะออกอาการ "สติวปิ้ด" จากศรรักของคิวปิด ขึ้นมาทันที อาการนี้จะเห็นได้จากการส่งดอกกุหลาบสีแดง ส่งช็อคโกแล็ต การส่งบัตรอวยพรและอื่นๆ อีกครับ หมายเหตุท้ายบท : "สติวปิ้ด" เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า "โง่" ครับ เหมือนคำบางคำที่เราอาจเคยได้ยินว่า "ความรักบางครั้งก็ทำให้คนตาบอด และ มองไม่เห็นข้อบกพร่องของคนที่เรารัก"

ความหมายของดอกกุหลาบ ^3^


ใกล้ช่วงวาเลนไทน์แล้วใคร ๆ ก็เลือกซื้อของขวัญให้กับคนรัก ของขวัญยอดยิตที่สุดคือดอกกุหลาบ เรามาดูความหมายสีต่าง ๆ ของดอกกุหลาบกันดีกว่าคะ เผื่อจะได้เลือกดอกกุหลาบให้คนรักได้ถูกใจ

กุหลาบแดงและขาวรวมกัน สื่อความหมายให้รู้ว่า "สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน"
กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความงดงามและความอ่อนโยน
กุหลาบสีเหลือง บอกเป็นนัยว่า "ขอเป็นชู้ทางใจ" หรือ หมายถึงความสุข สนุกสนาน ร่าเริง
กุหลาบสีส้ม เพื่อบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมา
กุหลาบแดงเข้ม(สีเหมือนไวน์แดง) แทนคำว่า "เธอช่างสวยเหลือเกิน"
กุหลาบสีขาว บอกว่า "ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"
กุหลาบตูม ที่มีทั้งใบและหนาม บอกให้รู้ว่า "แม้ฉันจะวิตกอยู่บ้าง แต่รู้ว่าเธอคงไม่ปฏิเสธ"
กุหลาบตูมที่ลิดใบทิ้งหมด แสดงให้เห็นว่าผู้ให้รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าน่ากลัวไปหมด
กุหลาบตูมที่ลิดหนามทิ้งหมด แสดงให้เห็นถึงความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้น
กุหลาบตูมสีแดง แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไร้เดียงสา "รักของฉันเพิ่งแรกแย้ม และอ่อนต่อโลก"
กุหลาบตูมสีขาว แสดงถึงความมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก
กุหลาบบานหนึ่งดอก และกุหลาบตูม 2 ดอก อยากบอกว่า "นี่คือความรักที่ฉันแอบซ่อนไว้"
กุหลาบบานสีแดง บอกให้รู้ว่า "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"
กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"
กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว แทนความหมาย "เสน่ห์ของเธอมันจืดจางลงแล้ว"
กุหลาบไร้หนาม ให้รู้ว่า "เธอช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลแม้ยามแรกพบ"
กุหลาบดอกเดียวแทนความหมาย "รักฉันแม้เรียบง่าย แต่ก็มั่นคงกับเธอผู้เดียว"

credit :http://www.panmai.com/Meaning/Meaning.shtml

สำนวนสุภาษิตอังกฤษ-ไทย

ตัวอย่างสุภาษิต 20 สุภาษิตที่เราพบบ่อย
1. An accident is due to lack of proper care. = อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นจากการขาดความระมัดระวัง
2. Don’t charge your memory with too many facts = อย่าใช้สมองจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ให้มากจนเกินไป
3. A mad man is not responsible for his actions. = คนบ้าไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขา
4. It’s a sad house where the hen crows louder than the cock. = สามีเป็นช้างเท้าหน้า ภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง
5. Marriage is an expensive luxury. = การแต่งงานเป็นของฟุ่มเฟือยที่แสนแพง
6. Fools build house; wise men buy them. = คนโง่สร้างบ้านอยู่ คนฉลาดซื้อบ้านสร้างเสร็จอยู่
7. Keep something for a rainy day. = กินน้ำเผื่อแล้ว
8. There is no fool like an old fool. =ไม่มีใครโง่เกินคนแก่โง่
9. Kill not the goose that lays the golden eggs. = โลภมากลาภหาย.
10. Facts are stubborn things. = ความจริงล้างอย่างไรก็ไม่เลือนหาย
11. It is a foolish sheep that makes. The wolf his confessor. = อย่าชี้โพรงให้กระรอก
12. Brave actiuons never want trumpet. = การกระทำอันกล้าหาญ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้
13. Good manners are part and parcel of a good education. = กิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อย เป็นส่วนสำคัญจากการได้รับการศึกษาดี
14. A bad workman always blames his tool. = รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
15. Habituate yourself to hard work. = จงฝึกฝนตัวเองให้เคยชินกับงานหนัก
16. Fine features make fine birds. = ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
17. Man has gregarious habits. = มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ
18. Big fish eat little fish. = ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
19. Guardianship has many responsibillitie. = การเป็นผู้ปกครองนั้นต้องมีความรับผิดชอบมาก
20. A friend in need is a friend indeed = เพื่อนแท้คือเพื่อนในยามยาก

วิธีลดน้ำหนักแบบไหนเหมาะกับคุณ ??


เพราะการที่กระยวนการเผาผลาญในร่างกายของคนเรา จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่มากขึ้น ทำให้สาวๆที่เริ่มมีอายุอาจจะมองว่าการลดน้ำหนักจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก วันนี้เราจึงนำวิธีลดน้ำหนักซึ่งเหมาะสำหรับสาวๆ ทุกวัยมาฝากค่ะ

อายุระหว่าง 20-30 ปี

ในวัยนี้การลดน้ำหนักเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ เพราะในช่วงนี้คุณสามารถที่จะลดน้ำหนักได้มากถึง 3-4 กิโลต่อเดือนเลยทีเดียว โดยที่คุณไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายเลยกับการลดน้ำหนักในช่วงนี้ เพียงแค่คุณรับประทานผลไม้ ก็จะทำให้น้ำหนักของคุณลดได้เร็วยิ่งขึ้น

อายุระหว่าง 30-40 ปี

ในวัยนี้ระบบการเผาผลาญเริ่มจะทำงานช้าลง คุณผู้หญิงจึงไม่ควรจะหักโหมในเรื่องของการลดน้ำหนัก เพราะจะทำให้ดูแก่เกินวัยได้ เพราะการลดน้ำหนักจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและพลังงาน เป็นผลให้ผิวเหี่ยวย่น มีริ้วรอย คุณผู้หญิงในวัยนี้จึงไม่ควรลดน้ำหนักมากเกิน 2-3 กิโลกรัมต่อเดือน ควรทานผักให้มาก ออกกำลังกาย เป็นประจำและใช้สกินแคร์ควบคู่ไปด้วยจะดีกว่า

อายุระหว่าง 40-50 ปี

ปัญหาหนักของผู้หญิงวัยนี้ก็คือ การที่กล้ามเนื้อหย่อนคล้อย น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง การลดน้ำหนักในวัยนี้จึงควรเน้นที่อาหารมื้อแรกของวัน เริ่มจากการลดปริมาณอาหารลงจากปกติ 30% บริโถคน้ำมันจากผัก ปลา และอาหารทะเล ซึ่งให้คุณค่าทางอาหารสูง ไม่ส่งผลต่อน้ำหนักตัว

เกร็ดความรู้ของการควบคุมอาหาร


1 ขอให้สัญญากับตัวเองว่าจะลดความอ้วน ขอให้ตั้งเป้าหมายลดความอ้วนด้วยตัวเอง ไม่ใช่ลดเพราะความต้องการของคนอื่นๆ

2 ควรเลือกเวลาที่เหมาะสม การลดความอ้วนในสภาพที่ไม่เหมาะสมเช่น กำลังอยู่ในช่วงใกล้สอบ หรือกำลังมีปัญหาการเงิน ปัญหาเหล่านี้จะรบกวนสภาพจิตใจ ความพร้อมของคุณ ทำให้การลดน้ำหนักของคุณไม่ประสบความสำเร็จ

3 ควรเลือกเป้าหมายการลดความอ้วนที่เป็นไปได้ หรือไม่ตั้งเป้าหมายสูงเกินไป ถ้าคุณอ้วนมากๆ คุณไม่สามารถที่ลดความอ้วนให้เหมือนคนผอมได้ในทันทีหรือระยะเวลาสั้นๆ
ควรลดความอ้วนแบบค่อยๆเป็นไป ช้าๆ และคงที่ อาจจะตั้งเป้าหมายครึ่งกิโลกรัมต่ออาทิตย์ หรือเป้าสูง 1 กิโลกรัมต่อสับดาห์

4 คุณควรเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารให้มากินอาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ การลดความอ้วนโดยวิธีลดอาหารทำให้ร่างกายของคุณได้รับพลังงานน้อย น้ำหนักน้อยลงก็จริง แต่เป็นเพราะปริมาณน้ำในร่างกายลดลง ไม่ใช่ปริมาณไขมันที่ลดลง
ยกตัวอย่างเช่นนักมวยที่ลดน้ำหนักก่อนขึ้นชั่ง น้ำหนัก ด้วยการวิ่ง อดน้ำ อดข้าว หรือเข้าเครื่องอบไอน้ำ เพื่อลดปริมาณน้ำในร่างกาย ทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว ก็กินข้าว ดื่มน้ำ ก็จะมีน้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม
นอกจากนี้การอดอาหาร ยังทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น กรดโฟลิค แมกนีเซี่ยม และสังกะสี ซึ่งล้วนแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำให้สุขภาพดี
ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการกินอาหารที่ให้พลังงานน้อยแทน เช่นผัก ผลไม้

5 ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว (ก้าวเท้าเร็ว)ติดต่อกันนาน 30 นาที 3-4 วันต่ออาทิตย์ จะส่งผลให้น้ำหนักคุณลดลงประมาณ 0.3 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายโดยทำให้เผาผลาญไขมันส่วนเกิน จะทำให้น้ำหนักลดลงโดยตรง และส่งผลทำให้ปริมาณกล้ามเนื้อของร่างกายเพิ่มขึ้น

การออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic Exercise) โดยมีระยะเวลานานกว่า 20 นาทีขึ้นไป จะช่วยลดปริมาณไขมันอย่างได้ผลดีมากๆ

สำหรับ ท่านที่มีน้ำหนักมากๆ และไม่เคยออกกำลังกาย ควรเริ่มต้นทีละน้อย แล้วค่อยเพิ่มเวลาให้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้วิธีการเดิน หรือการวิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ เต้นรำ เคล็ดลับประการหนึ่งคือ ควรมีเพื่อนร่วมออกกำลังกาย จะทำให้คุณออกกำลังกายตามตารางที่กำหนดได้ดีขึ้น นอกจากนี้คุณอาจใช้วีธีออกกำลังกายอื่นๆ เช่นเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์โดยสาร

วัตถุประสงค์ในการออกกำลังกายกับลดน้ำหนัก


หลายๆคนที่อ่านหรือหาข้อมูลเรื่องการออกกำลังกาย คงจะสับสนว่า บางที่ก็บอกว่า ให้ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ บางแห่งก็บอกว่าต้อง 5 ครั้ง หรือบางที่ก็บอกว่าต้องออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที แต่บางทีก็ไปเจอมาว่า ออกกำลังกาย 3 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที ก็ให้ผลดีเหมือนกับการออกกำลังกาย 30 นาที สับสนไปหมด ตกลงจะเอายังไงกันแน่ งง…

วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ ให้รู้แบบเห็นดำเห็นแดงกันไปเลย เราแบ่งแยกการออกกำลังกายตามวัตถุประสงค์ เราออกกำลังกายเพื่อ 1 สุขภาพที่ดี 2 ลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน สำคัญตรงนี้ว่า วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน จะทำให้มีแนวการออกกำลังกายที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง
ทีนี้เรามาดูลักษณะการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีก่อนครับ

1 การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ต้องหักโหมมากมาย ทำแต่พอดี เช่นวิ่ง หรือเดิน ก็เพียงพอต่อสุขภาพที่ดีแล้ว เช่น วิ่งหรือเดินวันละ 30 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ แต่การออกกำลังแค่นี้ไม่เพียงพอต่อการลดความอ้วน
2 การอออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนหรือลดน้ำหนัก สิ่งสำคัญที่อยากบอกคือการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนไม่ง่ายเหมือนการออก กำลังกายเพื่อสุขภาพ เช่นถ้าคุณต้องการลดน้ำหนัก1/2 กก.ต่อสัปดาห์ คุณจะต้องเผาผลาญพลังงานมากกว่า 3,500 แคลอรี่ ซึ่งเทียบกับการเดิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เห็นตัวเลขแล้ว จะรู้สึกท้อแท้ไม่อยากออกกำลังกาย

ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักต้องกระทำควบคู่กับการควบคุมการกิน ถ้าไม่ควบคุมการกิน จะทำให้ลดน้ำหนักยาก
คุณ ควรตัดสินใจให้ได้ว่าต้องการออกกำลังกายเพื่ออะไร เพราะหากมีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน วิธีการก็ต้องแตกต่างกันด้วย เพื่อบรรลุเป้าหมายในท้ายที่สุด

credit :www.chay4.com

ความรู้ภาษาอังกฤษในภาษาพูดที่ควรรู้ ^_______^


สำหรับบางคนที่คุยกับฝรั่งแล้วไม่เข้าใจว่าฝรั่งนั้นพูดอะไร ทำไมถึงพูดไม่เหมือนกับที่เราเรียนมา นั้นเป็นเพราะเค้าควบคำให้ดูสั้นคะ
ในภาษาพูด have to (ต้อง) มักพูดเป็น hafta (แฮฟถะ) need to (ต้อง) มักพูดเป็น needa (นีดะ) got to (ต้อง) มักพูดเป็น gotta (กอถะ) going to (จะ) มักพูดเป็น gonna (เกินหนะ) want to (ต้องการ/อยากจะ) มักพูดเป็น wanna (วอนหนะ) to (ที่จะ/ที่/ยัง) มักพูดเป็น ta (ถะ) ความรู้นี้จะช่วยให้คุณฟังเจ้าของภาษารู้เรื่องมากขึ้นนะคะ ;)

ลดความอ้วนจากการออกกำลังกาย

ทางเลือกหนึ่งในการลดความอ้วนหรือการลดน้ำหนัก คือการออกกำลังกาย ขอแนะนำการออกกำลังกาย 3 รูปแบบ ดังนี้
1 ลดความอ้วนด้วย การเดิน
การ เดินเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอาการเข่าเสื่อมหรือปวดเข่า แนะนำให้ใช้การเดินเร็ว(ก้าวเท้าเร็วๆ) แกว่งแขนแรงๆ โดยใช้เวลาเดิน 20-40 นาที 4 วันต่อสัปดาห์ การเดินเร็วเป็นประจำช่วยทำให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง หัวใจ กล้ามเนื้อแข็งแรงทนทาน ข้อก็เคลื่อนไหวได้ดี

2 ลดความอ้วนด้วย การวิ่ง
การวิ่งมีประโยชน์เหมือนการเดิน มีผลดีต่อกล้ามเนื้อ สุขภาพ ลดความเครียด ป้องกันโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ และอื่นๆ
ข้อแนะนำในการวิ่ง
2.1 อบอุ่นร่างกายก่อนการวิ่ง
2.2 เวลาวิ่งควรใช้ส้นเท้าลงก่อนแล้วตามด้วยฝ่าเท้า
2.3 แกว่งแขนตามธรรมชาติ
2.4 เลือกรองเท้าที่เหมาะสม ไม่คับหรือหลวมเกินไป
2.5 เตรียมน้ำเย็นสำหรับดื่มติดตัวไปด้วย
2.6 การเพิ่มระยะทางในการวิ่ง ควรเพิ่มครั้งละ 10 เปอร์เซ็นต์ เช่นอาทิตย์นี้วิ่ง 5 กม. อาทิตย์หน้าก็เพิ่มเป็น 5.5 กม.

3 ลดความอ้วนด้วย การขี่จักรยาน
การ ขี่จักรยานเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อเข่าไม่ดี เพราะไม่ต้องลงแรงกระแทก ไม่ต้องลงน้ำหนัก จักรยานที่เหมาะสมคือจักรยานเสือหมอบ เหมาะสำหรับขี่ในเมือง ถนนเรียบ และจักรยานเสือภูเขา ขี่ได้ทุกสภาพพื้นที่ไม่ว่าจะขรุขระหรือทางเรียบ ข้อดีของการขี่จักรยานคือทำระยะได้ไกล ไม่เบื่อ ข้อเสียคือมีราคาแพง
ข้อแนะนำในการขี่จักรยาน
3.1 เลือกจักรยานที่เหมาะสมกับรูปร่าง
3.2 เตรียมน้ำดื่มใส่ขวดไปด้วยเสมอ
3.3 ใส่หมวกกันน็อค
3.4 เตรียมผ้าเช็ดเหงื่อสำหรับซับเหงื่อ
3.5 ใส่แว่นตากันแดด ป้องกันแสงแดดและฝุ่นควัน

credit :http://www.chay4.com/

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

9 วิธีลดความเครียด


ถ้าพูดถึงเรื่องเครียด ใครไม่เครียดบ้างยกมือขึ้น (มองซ้าย มองขวา -ไม่เห็นมีใครยกมือซักคน) ในปัจจุบัน ต้องบอกว่าทุกคนมีความเครียดกันหมด แต่ไม่ว่าความเครียดของคุณจะอยู่ในระดับ สิ่งสำคัญก่อนอื่นคือ คุณต้องรู้ตัวคุณก่อนว่า คุณกำลังอยู่ในภาวะของความเครียด เมื่อคุณรู้ตัวว่า คุณกำลังเครียดอยู่ ผู้เขียนมีวิธีการในการลดความเครียด 9 วิธี เพื่อช่วยให้คนทำงานผ่อนคลายลงได้ ดังนี้
1. พัฒนาทักษะการบริหารเวลา- เวลาเครียด คนส่วนมากชอบบ่นว่า “งานเยอะ! เวลาน้อย! เครียด!” ดังนั้นวิธีการที่จะลดความเครียดได้ดีที่สุดคือการบริหารเวลาทำงาน แบ่งงานตามลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน แล้วทำในสิ่งที่ด่วนและสำคัญก่อน จากนั้นจึงทำงานที่สำคัญแต่ไม่ด่วน ตามด้วยด่วนแต่ไม่สำคัญ แล้วก็ไม่ด่วนและไม่สำคัญ อย่าผลัดวัน ประกันพรุ่งในการทำงาน เพราะงานที่ไม่ด่วนจะกลายเป็นงานด่วนได้ถ้าคุณไม่ทำ แล้วเมื่อมันกลายเป็นงานด่วน มันก็จะกลายเป็นความเครียดด้วย

2. เรียนรู้ที่จะพูดว่า “ไม่” หรือขอความช่วยเหลือ - ถ้างานที่คุณได้รับ มันมากหรือยากเกินกำลังความสามารถของคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่จะบอกหัวหน้าของคุณหรือคนที่ขอให้คุณช่วย บอกไปเลยว่า คุณไม่สามารถทำให้ได้พร้อมเหตุผลว่าทำไม แล้วถ้าเขาต้องการให้ทำจริงๆ คุณก็ต้องบอกไปเลยว่า ถ้าจะให้ทำ เขาต้องเข้ามาช่วยคุณอย่างไรบ้าง

3. พยายามผ่อนคลายแล้วหายใจลึกๆ - ถ้าคุณเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาเพราะงานที่ล้นมือ หรือเพราะใครบางคนยืนอยู่ข้างหน้าคุณ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณควรทำคือการหายใจเข้าลึกๆ “ผ่านทางจมูก” เมื่อคุณเครียด ร่างกายของคุณจะต้องการพลังงานอย่างมากเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ความเครียด เมื่อร่างกายต้องการพลังงาน ออคซิเจนจำนวนมากจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างพลังงานที่ต้องการ การหายใจผ่านทางปากจะทำให้ร่างกายได้รับออคซิเจนน้อยกว่าการหายใจผ่านทางจมูก ดังนั้นการสูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ จะช่วยในการบรรเทาความเครียดได้มากกว่า

4. พักสัก 5 นาที แล้วกลับไปทำงานต่อ - ถ้าการทำงานของคุณ ทำให้คุณรู้สึกเครียด จงเดินออกจากโต๊ะทำงานของคุณสัก 5 นาที เดินไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โต๊ะทำงานของคุณ แต่ถ้าจะให้ดีแล้ว ลองไปเดินออกกำลังกายดู เช่นเดินขึ้นบันไดเสีย 2 ชั้นแล้วเดินลง การออกกำลังกายจะช่วยลดระดับความเครียดของคุณลงได้

5. ยิ้ม - เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การหัวเราะจะช่วยให้ความเครียดลดลง ถ้าคุณยิ้มก็จะทำให้คนรอบๆ ตัวคุณรู้สึกดีไปด้วย แล้วเขาก็จะยิ้มตอบคุณกลับมา แล้วคุณจะพบว่า โลกรอบๆ ตัวคุณนั้น สดใสกว่าที่คุณคิด

6. ฟังให้มากขึ้น - แทนที่คุณจะมานั่งเครียดกับความคิดเห็นของคนอื่นที่ไม่ลงรอยกับคุณ คุณลองฟังเขาพูดให้มากขึ้น แล้วมองหาหัวข้อที่ลงรอยกันบ้าง แล้วคุณจะพบว่า เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับคุณ

7. สร้างสมดุลให้กับตัวเอง - ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอต่อร่างกาย การหาเพื่อนที่เราสามารถคุยและระบายความเครียดออกมาให้ฟังได้ หรือแม้แต่การทำให้บรรยากาศรอบตัวเราอยู่ในระดับที่ควรจะเป็น เช่นความสว่างของแสงไฟ ระดับเสียงที่ต้องการ หรือแม้แต่อุณหภูมิของห้อง

8. อย่าเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง - เรื่องบางเรื่องที่คุณรู้ อาจจะเป็นแค่เรื่องที่คุณต้องรู้แต่ไม่ใช่เรื่องให้คุณต้องคิด หรือเรื่องบางเรื่องที่คุณรู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่านำมาคิดให้เสียเวลา มันทำให้คุณเครียดโดยใช่เหตุ

9. อยู่กับคนที่ชอบมองโลกในแง่บวก - การที่คุณอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ลบ ดีแต่จะทำให้คุณเครียดแล้วก็มองโลกในแง่ลบด้วย ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ จงอยู่กับคนที่มองโลกในแง่บวก แล้วความคิดของคุณก็จะสดใสไปด้วย

หวังว่า 9 วิธีลดความเครียดนี้จะสามารถช่วยคุณผู้อ่านได้ ไม่มากก็น้อย ว่าแต่...

คุณรู้ตัวหรือยังว่า คุณกำลังเครียดอยู่!

เรื่อง : วรรพร สิมะโรจน์ ที่ปรึกษา บริษัท ออคิด สลิงชอท จำกัด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์

6 วิธีลดน้ำหนักง่าย ๆ โดยไม่ต้องอดอาหาร

6 วิธีลดน้ำหนักง่าย ๆ โดยไม่ต้องอดอาหาร
ลดน้ำหนัก เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม สาว ๆ ที่วางแผนจะลดน้ำหนัก แต่ไม่อยากอดอาหารจะทำอย่างไรดี วันนี้เรามี 6 วิธีลดน้ำหนักง่าย ๆ โดยไม่ต้องสนใจสูตรไดเอทไหน ๆ มาบอกกันด้วย 1.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเท่านั้น ง่าย ๆ เลยก็คือ เวลาคุณสาว ๆ เข้าร้านอาหาร อย่าสั่งพวกน้ำอัดลม หรือชามะนาวที่สามารถเติมได้ไม่อั้นอย่างเด็ดขาด เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณดื่มมากขึ้น แนะนำให้หันมาดื่มชาสมุนไพร น้ำมะนาว ไดเอท-โซดา จะดีกว่า แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด "น้ำเปล่า" นี่แหละค่ะ ตัวช่วยลดน้ำหนักที่ดีสำหรับสาว ๆ เลย 2.ทานอาหารเช้าให้เป็นนิสัย อาหารเช้าคือมื้อสำคัญที่สุดของวัน หากคุณสาว ๆ ไม่ยอมทานอาหารเช้า จะทำให้ตอนบ่าย รวมทั้งตอนกลางคืนคุณจะรู้สึกอยากทานอาหารมากกว่าปกติ นอกจากนี้ การไม่ทานอาหารเช้าแล้วปล่อยให้ท้องว่างเป็นเวลานานก่อนจะถึงมื้อต่อไป จะทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานช้าลงด้วย แต่ถ้าตอนเช้าคุณไม่รู้สึกหิว แสดงว่าคุณทานอาหารมื้อดึกในช่วงเวลาที่ใกล้จะเข้านอนแล้ว เพราะฉะนั้นควรจะทานอาหารเย็นให้เร็วขึ้น โดยปกติไม่ควรทานอาหารเย็นเกินหนึ่งทุ่ม เพื่อที่ตอนเช้าคุณจะได้รู้สึกอยากทานอาหาร 3.จิบน้ำทีละน้อย ในระหว่างวัน คุณสาว ๆ คงมักจะได้ยินคนพูดกันว่า ให้ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน ร่างกายจะได้ไม่ขาดน้ำ ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่ได้หมายถึง "น้ำเปล่า" อย่างเดียว เพราะยังรวมถึงน้ำจากผลไม้สดที่เราทานเข้าไปด้วย แต่คุณไม่ควรปล่อยให้เราหิวน้ำเสียก่อนถึงจะดื่มน้ำเสียล่ะ เพราะจริง ๆ แล้วเราควรจิบน้ำทีละน้อย ๆ ในแต่ละวัน แล้วคุณจะแปลกใจว่า มันช่วยให้ความอยากอาหารของร่างกายลดลงได้ด้วย 4.ทานผักผลไม้มาก ๆ ทานผลไม้ทั้งเปลือก เช่น แอปเปิ้ล ซึ่งเต็มไปด้วยไฟเบอร์ จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนาน และทานได้น้อยลง และจำไว้ว่า แม้ผักและผลไม้เต็มไปด้วยสารอาหาร แถมยังมีแคลอรีต่ำก็จริง แต่ต้องระวังหากทานผักผลไม้ร่วมกับน้ำสลัดที่มีแคลอรีสูง เนย ชีสซอส หรือทานกับพวกพาสต้าสลัด ครีมสลัด เพราะมันอาจทำให้คุณอ้วนได้ แล้วจะมาอ้างว่า ทานผักผลไม้เยอะแล้วไม่ได้ล่ะ 5.ทานโฮลเกรน อาหารจำพวกโฮลเกรนจะช่วยให้คุณอิ่มได้นานกว่าคาร์โบไฮเดรตประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะในตอนเช้า โฮลเกรนเป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่งของสาว ๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลเกรน แครกเกอร์โฮลวีท จะช่วยเพิ่มเส้นใยให้ร่างกายของคุณได้ดีเลยล่ะ 6.พักผ่อนให้เพียงพอ รู้ไหมว่า การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะทำให้น้ำหนักลงลงได้ด้วย นอกจากนี้ ยังทำให้คุณมีพลังเต็มเปี่ยมที่จะออกกำลังกาย หรือทำงานได้มีประสิทธิภาพ แต่หากคุณไม่มีเวลานอนหลับมากมาย ลองทำวิธีง่าย ๆ เช่น ฝึกการหายใจลึก ๆ อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง ฟังเสียงดนตรีที่สงบ ๆ ทุก ๆ วัน จะช่วยให้คุณรู้สึกสบาย และลดความอยากทานอาหารตามอารมณ์ได้มากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

วิธีลดต้นขา แบบง่ายๆที่คุณก็ทำเองที่บ้านได้

วิธีลดต้นขา

ผู้หญิงกับเรื่องสวยๆงามๆเป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ได้
  ซึ่งเราจะได้เห็นจากผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาเพื่อความสวยงามของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าเครื่องสำอาง ฯลฯ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรัผู้หญิง คือ รูปร่าง ซึ่งรูปร่างของแต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกันออกไป บางคนมีรูปทรงอย่างหุ่นแอปเปิ้ล

บางคนรูปร่างทรงลูกแพร์ ซึ่งแต่ละรูปร่างก็จะมีเทคนิคการลดสัดส่วนแตกต่างกันออกไป อวัยวะส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาด้านความอ้วนให้แก่ผู้หญิงที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง คือ ต้นขา เพราะการที่มีต้นขาใหญ่นั้น ทำให้ผู้หญิงมีความไม่มั่นใจในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่เสื้อผ้า ทำให้ตนนั้นใส่เสื้อผ้าไม่สวย แม้แต่เป็นผลกระทบถึงทางด้านจิตใจไปเลยทีเดียว ผลตามมาอีก

อย่างก็คือ ในรายที่มีต้นขาใหญ่มากๆนั้น สามารถทำให้เกิดความอับชื้นในบริเวณขาหนีบด้านในจนทำให้สามารถเกิดแหล่งเพาะเชื้อราขึ้นมาได้ เกิดมีอาการคันขึ้นมาเนื่องจากการอับชื้นเพราะการมีต้นขาที่ใหญ่นั่นเอง
วิธีลดต้นขา นั้นไม่ถือว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุด สามารถทำได้ง่ายๆ  สามารถทำได้ในที่แคบ ที่ทำงาน หรือที่ที่จำกัดเนื้อที่ได้ มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การยืน เอามือพิงกำแพงข้างใดข้างนึง แล้ว ยกขาอีกด้านนึงขึ้นมาเหวี่ยงไปหน้า และ เหวี่ยงไปด้านหลัง

ทำแบบนี้ 
15-20 ที เซ็ท ทำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ทุกสัปดาห์ ก็จะสามารถทำให้ต้นขาของคุณเล็กลงได้ เพียง3-4ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะสามารถมีต้นขาที่สวยงามได้นอกเหนือจากการออกกำลังกายเฉพาะส่วนแล้วการนวดก็เป็นอีก
 วิธีลดต้นขา ที่ทำให้ต้นขานั้นเล็กลง โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาของคุณเป็นเวลา 10-20 นาที ทุกวัน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทำให้ต้นขาของคุณเล็กลงได้ แต่เราจะเห็นความแตกต่างของต้นขาที่ลดลงได้ไม่เท่าการออกกำลังกายเฉพาะส่วน 
วิธีลดต้นขาจึงเป็นวิธีการช่วยเสริมวิธีการออกกำลังกายในเบื้องต้นนั่นเอง และข้อดีนอกเหนือจากการได้ลดลงของต้นขาแล้ว วิธีลดต้นขายังสามารถทำให้เซลลูไลท์บริเวณต้นขานั้นน้อยลงด้วย เนื่องจากการนวดนั้นเป็นการขับไล่สารพิษออกจากร่างกาย จึงส่งผลให้เซลลูไลท์นั้นมีขนาดเล็กลงไป  การขัดผิวโดยใช้ไยบวบ ก็เป็นวิธีลดต้นขาเราให้เล็กลง วิธีการให้ทำแบบการนวด โดยใช้ใยบวบแทนการนวด วิธีการนี้ก็เป็นวิธีการที่ง่ายอีกวิธีหนึ่ง
การทานสาหร่ายทะเล มีความเชื่อว่าการรับประทานสาหร่ายทะเลนั้นทำให้ต้นขาเล็กลง เนื่องจากสาหร่ายทะเลมีสารอาหารชนิดหนึ่งซึ่งสารอาหารชนิดนี้อาจส่งผลทำให้ต้นขาเล็กลงได้
การเดิน การเดินนั้นเคยมีความเชื่อผิดๆว่าการเดินมากทำให้ขาใหญ่ แต่จริงๆแล้วการเดินเร็วๆนั้นทำให้ต้นขาของเรากระชับขึ้น และเป็น
วิธีลดต้นขาที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลง และดูสวยงามยิ่งขึ้น อย่างไรก็แล้วแต่ การออกกำลังกายก็ควรทำให้พอเหมาะพอดีเพราะการที่ออกกำลังกายมากเกินไป ก็สามารถทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการอักเสบได้ 

ท่าบริหารและวิธีลดต้นขา

1.ยืนตัวตรง แล้วใช้นิ้วเท้าจิกพื้น พยูงตัวให้สูงขึ้น  หายใจออก ค้างไว้ ลดส้นเท้าลง หายใจเข้า ทำอย่างนี้สลับกันไปเรื่อยๆ 20 ครั้ง เซ็ท



2.นั่งบนเก้าอี้ หลังพิงพนักเก้าอี้ ยืดหลังตรง แล้วยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาให้เสมอขาในแนวนอน หายใจเข้า ลดเท้าลงตั้งฉากกับต้นขาหายใจออก ทำอย่างนี้สลับกัน 20 ครั้ง 3เซ็ท3.เอามือพิงกำแพงข้างใดข้างหนึ่ง  แล้วยกขาอีกด้านหนึ่งขึ้น เหวี่ยงออกข้างตัว ยกขาขึ้นมาจนถึงบริเวณสะโพก หายใจเข้า  ค้างไว้แล้วลดขาลง หายใจออก ทำสลับกันอย่างนี้ 20 ครั้ง เซ็ทการบริหารด้านต้นนี้เป็นคำแนะนำ อยากให้ผู้อ่านได้ลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อความสวยงามของคุณทุกคน เราจะเห็นได้ว่าไม่เป็นการยากเลยในการที่จะลดสัดส่วนที่ไม่ต้องการ เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมาย

การลดน้ำหนัก อย่างที่เห็นโฆษณาตามสื่อต่างๆมากมาย เพราะนั่นทำให้เสียเงินทองเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายนั้นนอกจากจะได้สัดส่วนที่เราพอใจแล้วนั้น สิ่งที่ได้ตามมาด้วยคือ สุขภาพที่ดีด้วย